เนื้อหาอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ
อนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ
โดยเฉพาะเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของนกน้ำ
แรมซาร์ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2514 (ค.ศ. 1971) แก้ไขตามพิธีสารปารีส
เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2525 (ค.ศ. 1982)
ตระหนักดีว่า | มนุษย์และสิ่งแวดล้อมต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน |
พิจารณา | หน้าที่พื้นที่ฐานทางนิเวศของพื้นที่ชุ่มน้ำ ในฐานะเป็นผู้ควบคุมรูปแบบของน้ำ และในฐานะเป็นที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์ โดยเฉพาะนกน้ำ |
รับทราบว่า | พื้นที่ชุ่มน้ำประกอบด้วยทรัพยากรที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ และนันทนาการ ซึ่งหากสูญเสียไปแล้วจะไม่สามารถแก้ไขได้ |
ปรารถนาให้ | ยับยั้งการบุกรุกและการทำให้สูญเสียพื้นที่ชุ่มน้ำทั้งในปัจจุบันและอนาคต |
รับทราบว่า | ในฤดูกาลอพยพของนกน้ำอาจมีการล่วงล้ำเขตแดน ดังนั้นจึงควรให้นกน้ำเป็นทรัพยากรนานาชาติ |
เชื่อมั่นว่า | สามารถให้หลักประกันแก่การอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำและพืชพรรณและสัตว์ในพื้นที่นั้น ได้โดยผนวกนโยบายระดับชาติในระยะยาวเข้ากับการดำเนินงานนานาชาติซึ่งได้ประสานกัน |
ได้เห็นชอบดังต่อไปนี้
- ตามความมุ่งหมายของอนุสัญญาฯ นี้ พื้นที่ชุ่มน้ำหมายถึงพื้นที่ marsh, fen, peatland หรือพื้นที่น้ำทั้งที่เป็นธรรมชาติและที่สร้างขึ้นเลียนแบบ ทั้งชั่วคราวและถาวร โดยมีน้ำขังนิ่งหรือน้ำไหล เป็นน้ำจืด น้ำกร่อย น้ำทะเล รวมทั้งพื้นที่น้ำทะเล ซึ่งมีความลึกเมื่อน้ำลงไม่เกิน 6 เมตร
- ตามความมุ่งหมายของอนุสัญญาฯ นกน้ำเป็นนกซึ่งอาศัยพึ่งพิงพื้นที่ชุ่มน้ำในเชิงนิเวศ
- แต่ละภาคีจักต้องกำหนดพื้นที่ชุ่มน้ำที่เหมาะสมภายในดินแดนของตน เพื่อรวมไว้ในทะเบียนพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ (List of Wetlands of International Importance) ซึ่งต่อไปจะอ้างถึงว่า “ทะเบียน” ซึ่งถูกรักษาไว้โดยสถาบันซึ่งกำหนดขึ้นไว้ภายใต้มาตรา 8 ภาคีจักต้องอธิบายขอบเขตของพื้นที่ชุ่มน้ำให้ชัดเจนพร้อมทั้งแสดงขอบเขตลงในแผนที่ ขอบเขตของพื้นที่เหล่านี้อาจจะรวมถึงพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำและชายฝั่งทะเล ซึ่งติดกับพื้นที่ชุ่มน้ำและเกาะหรือน้ำทะเลซึ่งลึกกว่า 6 เมตร เมื่อน้ำลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญในฐานะ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของนกน้ำ
- พื้นที่ชุ่มน้ำควรได้รับเลือกให้อยู่ในทะเบียนโดยคำนึงถึงความสำคัญในระดับนานาชาติ ทั้งด้านนิเวศวิทยา พฤกษศาสตร์ สัตวศาสตร์ ชลวิทยา และอุทกวิทยา ในขั้นแรกพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญในระดับนานาชาติต่อนกน้ำ ไม่ว่าเป็นฤดูกาลใดควรได้รับการบรรจุไว้ในทะเบียน
- การบรรจุพื้นที่ชุ่มน้ำไว้ในทะเบียน จักไม่ละเมิดอำนาจอธิปไตยของภาคี ซึ่งเป็นเจ้าของดินแดนที่มีพื้นที่ชุ่มน้ำนั้น
- ภาคีจักต้องกำหนดพื้นที่ชุ่มน้ำอย่างน้อย 1 แห่งเข้าบรรจุในทะเบียนเมื่อส่งมอบเอกสารสัญญาในการให้สัตยาบันหรือเข้าเป็นภาคีใหม่ ดังกำหนดไว้ในมาตรา 9
- ภาคีใดๆ จัดมีสิทธิบรรจุพื้นที่ชุ่มน้ำที่อยู่ในดินแดนของตนเพิ่มในทะเบียน ขยายขอบเขตของพื้นที่ชุ่มน้ำที่อยู่ในทะเบียนแล้ว หรือเพราะว่าภาคีนั้นมีความสนใจอย่างเร่งด่วนในระดับชาติ เพิกถอนหรือจำกัดขอบเขตของพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งภาคีได้บรรจุไว้ในทะเบียนแล้ว และจะต้องโดยเร็วที่สุด แจ้งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวแก่องค์การหรือรัฐบาลซึ่งรับผิดชอบหน้าที่ของสถาบันดังระบุในมาตรา 8
- แต่ละภาคีจัดต้องพิจารณาความรับผิดชอบในระดับนานาชาติ สำหรับการอนุรักษ์ การจัดการและการใช้ประโยชน์อย่างชาญฉลาดเกี่ยวกับฝูงนกน้ำ ซึ่งมีการอพยพทั้งเมื่อกำหนดให้พื้นที่ชุ่มน้ำในดินแดนของตนบรรจุไว้ในทะเบียน และเมื่อดำเนินการตามสิทธิในการเปลี่ยนแปลงรายการในทะเบียนนั้น
- ภาคีจักต้องวางแผนและดำเนินการ เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำซึ่งได้บรรจุไว้ในทะเบียน และการใช้ประโยชน์พื้นที่ชุ่มน้ำในดินแดนของตนอย่างชาญฉลาดให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
- แต่ละภาคีจักต้องดำเนินการให้ได้รับแจ้งโดยเร็วที่สุดหากลักษณะทางนิเวศของพื้นที่ชุ่มน้ำใดๆ ในดินแดนของตนและที่บรรจุอยู่ในทะเบียนได้ถูกเปลี่ยนแปลงหรือกำลังเปลี่ยนแปลง หรือมีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนแปลง อันเป็นผลมาจากการพัฒนาทางเทคโนโลยี ภาวะมลพิษ หรือการรบกวนอื่นๆ จากมนุษย์ ข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนั้นจักต้องถูกส่งไปโดยไม่ชักช้ายังองค์กรหรือรัฐบาลที่รับผิดชอบการดำเนินงานของสถาบันดังระบุในมาตรา 8
- แต่ละภาคีจักส่งเสริมการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำและนกน้ำโดยจัดตั้งให้พื้นที่ชุ่มน้ำเป็นพื้นที่สงวนทางธรรมชาติไม่ว่าพื้นที่นั้นจะถูกบรรจุในทะเบียนหรือไม่ และให้การควบคุมดูแลที่เพียงพอ
- ในกรณีที่ภาคีใดมีความสนใจเร่งด่วนในระดับชาติขอเพิกถอน หรือจำกัดขอบเขตพื้นที่ชุ่มน้ำที่ได้รับการบรรจุไว้ในทะเบียนภาคีนั้นควรชดเชยการสูญเสียทรัพยากรพื้นที่ชุ่มน้ำ และโดยเฉพาะภาคีนั้นควรสร้างพื้นที่สงวนทางธรรมชาติสำหรับนกน้ำและเพื่อการคุ้มครองทั้งในพื้นที่เดิมนั้นหรือที่อื่น ซึ่งมีแหล่งที่อยู่อาศัยเดิมในสัดส่วนที่เพียงพอ
- ภาคีจักต้องเสริมการวิจัยและการแลกเปลี่ยนเอกสารและข้อมูลเผยแพร่ที่เกี่ยวกับพื้นที่ชุ่มน้ำและบัญชีพืชพรรณและสัตว์
- ภาคีจักต้องพยายามอย่างเต็มกำลังในการจัดการเพิ่มประชากรนกน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำที่เหมาะสม
- ภาคีจักต้องส่งเสริมการฝึกอบรมบุคคลกรให้มีความสามารถในการวิจัยการและการควบคุมดูแลพื้นที่ชุ่มน้ำ
- ภาคีจักต้องปรึกษาหารือกันและกันในการอนุวัตการตามพันธกรณีที่เกิดขึ้นจากอนุสัญญาฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของพื้นที่ชุ่มน้ำที่ครอบคลุมดินแดนของภาคีมากกว่าหนึ่งประเทศ หรือในกรณีที่มีการแบ่งปันใช้ระบบน้ำในระหว่างภาคี ในขณะเดียวกันภาคีจักต้องพยายามอย่างสุดกำลัง ในการประสานงานและให้ความสนับสนุนนโยบายทั้งในปัจจุบันและอนาคตและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ ตลอดจนพืชพรรณและสัตว์ในพื้นที่นั้น
- ภาคีจักต้อง เมื่อมีความจำเป็นเกิดขึ้น เรียกประชุมการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำและนกน้ำ
- การประชุมจักต้องมีลักษณะเป็นที่ปรึกษาและจักต้องได้รับมอบหมายนอกเหนือจากประการอื่นแล้ว ดังนี้
- เพื่อหารือในการดำเนินการตามอนุสัญญาฯ
- เพื่อหารือการเพิ่มและเปลี่ยนแปลงรายการในทะเบียน
- เพื่อพิจารณาข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนคุณลักษณะทางนิเวศของพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งได้รับการบรรจุอยู่ในทะเบียนดังได้กำหนดโดยสอดคล้องกับวรรค 2 ของมาตรา 3
- เพื่อเสนอคำแนะนำโดยทั่วไป และที่เจาะจงภาคี โดยเกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ การจัดการ และการใช้ประโยชน์อย่างชาญฉลาดในพื้นที่ชุ่มน้ำตลอดจนพรรณพืชและสัตว์ป่าในพื้นที่นั้น
- เพื่อเรียกร้องให้องค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องเตรียมรายงานและสถิติในเรื่องที่จำเป็นในระดับนานาชาติ อันมีผลต่อมาพื้นที่ชุ่มน้ำ
- ภาคีจักต้องให้หลักประกันว่าผู้รับผิดชอบในทุกระดับที่เกี่ยวข้อง เตรียมรายงานและสถิติในเรื่องที่จำเป็นในระดับนานาชาติ อันมีผลต่อพื้นที่ชุ่มน้ำ
- ผู้แทนภาคีในการประชุมนั้นความรวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านพื้นที่ชุ่มน้ำหรือนกน้ำ โดยที่มีความรู้ประสบการณ์ที่ได้รับทางด้านวิทยาศาสตร์และการบริหารและมีสรรถภาพที่เหมาะสมอื่นๆ
- แต่ละภาคีที่เข้าร่วมการประชุมจักต้องมีสิทธิออกเสียงเพียงเสียงเดียวข้อเสนอแนะจักเป็นที่ยอมรับโดยเสียงทั้งหมดของภาคี
- สหพันธ์นานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (IUCN) จักดำเนินการทำหน้าที่เป็นสถาบันซึ่งรับผิดชอบต่อเนื่องภายใต้อนุสัญญาฯ จนกว่าจะมีการจัดตั้งองค์การหรือรัฐบาล อันได้รับมอบหมายจากเสียงข้างมาก 2 ใน 3 ของภาคีทั้งหมด
- หน้าที่ของสถาบันซึ่งสืบเนื่องการดำเนินงานมีดังนี้
- เพื่อช่วยเหลือในการเรียกประชุมและจัดประชุมภาคีดังที่ระบุในมาตรา 6
- เพื่อดำรงรักษาทะเบียนพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ และเพื่อรับแจ้งจากภาคีเกี่ยวกับการเพิ่มเติม การขยาย การเพิกถอน หรือการจำกัด ที่เกี่ยวกับพื้นที่ชุ่มน้ำซึ่งได้สอดคล้องกับวรรค 5 ของมาตรา 3
- เพื่อรับการแจ้งจากภาคีเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางนิเวศของพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งขึ้นทะเบียนไว้ในทำเนียบดังกำหนดในวรรค 2 ของมาตรา 3
- เพื่อจัดส่งประกาศเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในทะเบียนหรือการเปลี่ยนแปลงลักษณะของพื้นที่ชุ่มน้ำซึ่งได้บรรจุไว้ในทะเบียนแก่ทุกภาคี และเพื่อจัดให้เรื่องเหล่านี้ได้รับการหารือในที่ประชุมครั้งต่อไป
- เพื่อแจ้งให้ภาคีที่เกี่ยวข้องทราบถึงข้อเสนอแนะจากการประชุมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในทะเบียน หรือการเปลี่ยนแปลงลักษณะของพื้นที่ชุ่มน้ำที่บรรจุไว้ในทะเบียน
- อนุสัญญาฯ นี้จักต้องเปิดให้ลงนามได้ไม่มีระยะเวลาสิ้นสุด
- สมาชิกขององค์การสหประชาชาติ หรือของหน่วยงานพิเศษ หรือองค์กรพลังงานปรมาณูนานาชาติ Intentional Atomic Energy Agency (IAEA) หรือภาคีของ The Statutes of the International Court of Justice (SICJ) สามารถเป็นภาคีได้โดย
- ลงนามโดยไม่ต้องมีข้อเสนอใดๆ สำหรับการให้สัตยาบัน
- ลงนามโดยรอให้มีการสัตยาบัน ตามด้วยการให้สัตยาบัน
- การเข้าเป็นภาคีใหม่
- การให้สัตยาบันหรือการเข้าเป็นภาคีใหม่จักบรรลุผลโดยการมอบเอกสารให้สัตยาบันหรือการเป็นภาคีใหม่ แก่ผู้อำนวยการองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งประชาชน (UNESCO) ซึ่งภายหลังจะเรียกว่า “ผู้ได้รับมอบหมายให้ดูแลรักษา”
- อนุสัญญาฯ นี้ จักมีผลบังคับใช้ใน 4 เดือนหลังจากที่รัฐใดๆ จำนวน 7 รัฐเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ ทั้งนี้โดนสอดคล้องกับวรรค 2 ของมาตรา 9
- ด้วยเหตุนี้อนุสัญญาฯ จักมีผลบังคับใช้สำหรับแต่ละภาคีใน 4 เดือนหลังจากวันที่ได้รับลงนาม โดยไม่มีการสงวนสิทธิสำหรับการให้สัตยาบัน หรือวันที่รับมอบเอกสาสารให้สัตยาบัน หรือการเข้าเป็นภาคีใหม่
- อนุสัญญาฯ นี้ อาจได้รับการแก้ไขในการประชามภาคีซึ่งเรียกประชุมเพื่อความมุ่งหมายโดยสอดคล้องกับมาตรานี้
- ภาคีใดๆ อาจจัดทำข้อเสนอเพื่อการแก้ไขอนุสัญญาฯ ได้
- จักต้องมีการติดต่อส่งสาระของข้อแก้ไขที่เสนอแนะเหตุผลในการเสนอไปยังองค์กร หรือรัฐบาลที่กระทำหน้าที่ของสถาบัน ซึ่งดำเนินการสืบเนื่องภายใต้อนุสัญญาฯ (ซึ่งในที่นี้เรียกว่า “สถาบัน”) และสถาบันจักต้องติดต่อไปยังภาคีทั้งหมดโดยทันที่ ภาคีต้องส่งความเห็นต่อสาระดังกล่าวไปยังสถาบันภายใน 3 เดือน หลังจากวันสุดท้ายของการส่งความเห็นสถาบันต้องแจ้งให้ภาคีทุกประเทศรับข้อคิดเห็นทั้งหมดโดยทันที
- สถาบันจักเรียกให้มีการประชุมภาคีเพื่อพิจารณาข้อแก้ไข ซึ่งไดรับการติดต่อโดยสอดคล้องกับวรรค 3 ได้ ต่อเมื่อการเรียกร้องโดยลายลักษณ์อักษรเป็นจำนวนหนึ่งในสามของภาคีสถาบันจักต้องปรึกษาเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ประชุม
- ข้อแก้ไขจะเป็นที่ยอมรับได้โดยเสียงข้างมาก สองในสามของภาคีทีเข้าประชุมและออกเสียง
- ข้อแก้ไขที่ยอมรับแล้วนั้นจักมีผลบังคับใช้สำหรับภาคีซึ่งยอมรับข้อแก้ไขนั้นในวันแรกของเดียวที่ 4 หลังจากวันที่สองในสามของภาคีได้ส่งมอบเอกสารในการยอมรับกับผู้ได้รับมอบเอกสารให้แลรักษา สำหรับแต่ละภาคี ซึ่งได้ส่งมอบเอกสารในการยอมรับหลังจากวันที่สองในสามของภาคี ได้ส่งมอบเอกสารในการยอมรับไปแล้ว ข้อแก้ไขนั้นจะมีผลบังคับใช้ในวันแรกของเดือนที่ 4 หลังจากที่ภาคีนั้น ได้ส่งมอบเอกสารในการยอมรับ
- อนุสัญญาฯ นี้จักมีผลบังคับใช้ไปเป็นระยะเวลานานไม่มีกำหนด
- ภาคีใดๆ อาจจะเพิกถอนอนุสัญญาฯ นี้ได้หลังจากระยะเวลา 5 ปี นับจากวันที่อนุสัญญาฯ มีผลบังคับใช้โดยแจ้งให้ทราบเป็นลายลักษณ์อักษรไปยังผู้รับมอบหมายให้ดูแลรักษา การเพิกถอนจะมีผลใน 4 เดือนหลังจากวันที่ผู้ได้รับมอบหมายให้ดูแลรักษาได้รับเรื่อง
- ผู้ได้รับมอบหมายให้ดูแลรักษาจะแจ้งทุกประเทศที่ลงนามและเข้าร่วมอนุสัญญาฯ เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เกี่ยวกับ
- การลงนามในอนุสัญญาฯ นี้
- การส่งเอกสารในการให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาฯ นี้
- เงื่อนไขในการส่งมอบเอกสารเข้าเป็นสมาชิกใหม่ในอนุสัญญาฯ นี้
- วันที่ที่มีผลมีบังคับใช้อนุสัญญาฯ นี้
- การประกาศเรื่องการเพิกถอนการเป็นภาคีอนุสัญญาฯ นี้
- เมื่ออนุสัญญาฯ มีผลบังคับใช้ ผู้ได้รับมอบหมายให้ดูแลรักษาจักต้องลงทะเบียนอนุสัญญาฯ กับเลขานุการของสหประชาชาติ ทั้งนี้โดยสอดคล้องกับมาตรา 102 ของกฎบัตรสหประชาชาติ
ผู้ลงนามซึ่งได้รับมอบหมายอำนาจอย่างเป็นทางการได้ลงนามในอนุสัญญาฯ จัดทำ ณ เมืองแรมซาร์ไซต์ ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) ด้วยภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และรัสเซีย สาระทั้งหมดเท่าเทียมกันกับต้นฉบับที่แท้จริง ซึ่งจะมอบไว้กับผู้รับมอบหมายให้ดูแลรักษาซึ่งจะส่งต้นฉบับจริงไปยังภาคีต่างๆ
มาตรา 6 และ 7 ของอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ โดยเฉพาะแหล่งที่อยู่อาศัยของนกน้ำ ตามที่แก้ไขโดยการประชุมภาคีในวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977)
- จักมีการตั้งสมัชชาภาคีเพื่อพิจารณาทบทวนและส่งเสริมการดำเนินงานตามอนุสัญญาฯ สถาบันดังได้อ้างถึงในมาตรา 8 วรรค 1 จักจัดให้มีการประชุมสมัชชาภาคีสมัยสามัญในระยะห่างกันไม่เกิน 3 ปี เว้นเสียแต่ว่าสมัชชาจะจัดเมื่อได้รับการร้องขอเป็นลายลักษณ์อักษร จากอย่างน้อย 1 ใน 3 ของภาคีในการประชุมสมัชชาภาคีสมัยสามัญแต่ละครั้งจักพิจารณากำหนดเวลาและสถานที่การประชุมสมัยสามัญครั้งต่อไปด้วย
- สมัชชาภาคีจักต้องได้รับมอบหมายดังนี้
- เพื่อหารือในการดำเนินการตามอนุสัญญาฯ
- เพื่อหารือการเพิ่มและเปลี่ยนแปลงรายการในทะเบียน
- เพื่อพิจารณาข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะทางนิเวศของพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งขึ้นทะเบียนดังได้กำหนดโดยสอดคล้องกับวรรค 2 ของมาตรา 3
- เพื่อเสนอคำแนะนำโดยทั่วไปและที่เจาะจงแก่ภาคี โดยเกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ การจัดการและการใช้ประโยชน์อย่างชาญฉลาดในพื้นที่ชุ่มน้ำและพรรณพืชและสัตว์ในพื้นที่นั้น เพื่อเรียกร้องให้องค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องเตรียมงานและสถิติในเรื่องที่จำเป็น ในระดับนานาชาติอันมีผลต่อพื้นที่ชุ่มน้ำ
- เพื่อรับรองข้อเสนอแนะอื่นๆ หรือแก้ไขปัญหาเพื่อส่งเสริมบทบาทหน้าที่ของอนุสัญญาฯ
- ภาคีจักต้องให้หลักประกันว่าผู้รับผิดชอบในทุกระดับในการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำจักได้รับการแจ้งให้ทราบถึง ข้อเสนอแนะจากการประชุมเกี่ยวกับการอนุรักษ์ การจัดการ และการใช้ประโยชน์อย่างชาญฉลาดในพื้นที่ชุ่มน้ำตลอดจนพืชพรรณและสัตว์ในพื้นที่นั้นๆ และจักได้นำข้อเสนอแนะดังกล่าวไปพิจารณา
- การประชุมสมัชชาภาคีจักต้องรับรองระเบียบวิธีการสำหรับการประชุมแต่ละครั้ง
- การประชุมสมัชชาภาคีจักต้องจัดตั้งขึ้นและพิจารณาทบทวนระเบียบการเงินของอนุสัญญาฯ ในการประชุมสมัชชาแต่ละครั้ง สมัชชาภาคีจักต้องรับรองงบประมาณสำหรับระยะการเงินต่อไปโดยมติของเสียส่วนใหญ่ 2 ใน 3 ของภาคีที่เข้าร่วมประชุมและออกเสียง
- แต่ละภาคีจักบริจาคให้แก่งบประมาณตามสัดส่วนซึ่งรับรองเป็นเอกฉันท์ โดยภาคีซึ่งเข้าร่วมประชุมและออกเสียงในการประชุมสมัชชาภาคีสมัยสามัญ
- ผู้แทนของภาคีในการประชุมนั้นควรรวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านพื้นที่ชุ่มน้ำหรือนกน้ำ โดยที่มีความรู้ประสบการณ์ที่ได้รับทางด้านวิทยาศาสตร์และการบริหารและมีสมรรถภาพที่เหมาะสมอื่นๆ
- แต่ละภาคีที่เข้าร่วมประชุมในสมัชชาภาคี จักมีสิทธิออกเสียงเพียงเสียงเดียวการเสนอข้อคิดเห็นข้อแก้ปัญหา และมติจะรับรองโดยเสียงข้างมากของภาคีที่เข้าร่วมประชุมและออกเสียง เว้นเสียแต่ว่าได้กำหนดเป็นประการอื่นในอนุสัญญาฯ นี้
อ้างอิง สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. ทำความเข้าใจอนุสัญญาแรมซาร์ (2556)