Author: admin
คู่มือการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
FLYWAY YOUTH FORUM 2020
FLYWAY YOUTH FORUM 2020 เป็นกิจกรรมออนไลน์และแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นสำหรับเยาวชนที่มีอายุระหว่าง 18 – 30 ปี เพื่อสำรวจการมีส่วนร่วมของเยาวชนในการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำและนกน้ำอพยพตามเส้นทางการบินเอเชียตะวันออก-ออสเตรเลีย โดยจะจัดกิจกรรมในระหว่างวันที่ 28-29 พฤศจิกายน 2563 และระหว่างวันที่ 5-6 ธันวาคม 2563 รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.flywayyouth.com/
คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เห็นชอบในการเสนอพื้นที่เครือข่ายนกอพยพบุรีรัมย์ ภายใต้โครงการความร่วมมือพันธมิตรสำหรับการอนุรักษ์นกและใช้ประโยชน์ถิ่นที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืนในเส้นทางการบินเอเชียตะวันออก – ออสเตรเลีย
คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๓ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบกับการเสนอพื้นที่ชุ่มน้ำเขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำห้วยจรเข้มาก เขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำห้วยตลาด และเขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำสนามบิน จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นพื้นที่เครือข่ายนกอพยพภายใต้โครงการความร่วมมือพันธมิตรสำหรับการอนุรักษ์นกและใช้ประโยชน์ถิ่นที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืนในเส้นทางการบินเอเชียตะวันออก – ออสเตรเลีย (Partnership for the Conservation of Migratory Waterbirds and the Sustainable Use of their Habitats in the East Asian – Australasian Flyway) หรือ The East Asian – Australasian Flyway Partnership (EAAFP) ภายใต้ชื่อ “พื้นที่เครือข่ายนกอพยพบุรีรัมย์” ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ซึ่งโครงการความร่วมมือดังกล่าว เป็นความร่วมมือระหว่างประเทศที่ต้องการอนุรักษ์นกอพยพตลอดจนถิ่นที่อยู่อาศัย และส่งเสริมให้มีการใช้ประโยชน์ทรัพยากรในพื้นที่อย่างชาญฉลาด เพื่อรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ดีให้สามารถเอื้อต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์และนกอพยพ หลังจากนี้ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหน่วยประสานงานกลาง EAAFP จะจัดส่งเอกสารไปยังสำนักเลขาธิการ EAAFP เพื่อตรวจสอบข้อมูลและพิจารณาประกาศเป็นพื้นที่เครือข่ายนกอพยพแห่งใหม่ต่อไป ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่เครือข่ายนกอพยพ จำนวน ๓ แห่ง คือ ปากแม่น้ำกระบี่ จังหวัดกระบี่ ปากทะเล-แหลมผักเบี้ย จังหวัดเพชรบุรี และโคกขาม จังหวัดสมุทรสาคร
การขึ้นทะเบียนแม่น้ำสงครามตอนล่าง จังหวัดนครพนม เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ หรือแรมซาร์ไซต์ แห่งที่ 15 ของประเทศไทย
ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำหรืออนุสัญญาแรมซาร์ (Ramsar Convention) ในลำดับที่ ๑๑๐ เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของประเทศที่ต้องการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ โดยการสนับสนุนให้มีการใช้ประโยชน์พื้นที่ชุ่มน้ำอย่างชาญฉลาด โดยมีสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะหน่วยประสานงานกลางระดับชาติของอนุสัญญาฯ ซึ่งปัจจุบันอนุสัญญาฯ ดังกล่าวมีประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เข้าร่วมเป็นภาคีรวม ๑๗๑ ประเทศ ทั้งนี้ ข้อตกลงหลัก ๆ ของประเทศที่เข้าร่วมในภาคีอนุสัญญาแรมซาร์ คือ ภาคีจะต้องคัดเลือกพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญ เพื่อบรรจุในทะเบียนพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ และส่งเสริมการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ รวมทั้ง ต้องกำหนดและวางแผนการดำเนินการใช้ประโยชน์พื้นที่ชุ่มน้ำอย่างชาญฉลาด และขอความร่วมมือให้ภาคีต่าง ๆ ร่วมจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และสร้างความตระหนักในคุณค่าและความสำคัญของพื้นที่ชุ่มน้ำ
พื้นที่ชุ่มน้ำแม่น้ำสงครามตอนล่าง จังหวัดนครพนม มีระบบนิเวศที่มีความสำคัญและเป็นเอกลักษณ์ที่มีความหายาก ได้แก่ ป่าบุ่งป่าทามผืนใหญ่ มีความสำคัญในเชิงความหลากหลายทางชีวภาพของชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ในระบบนิเวศ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของพันธุ์ปลาน้ำจืด เป็นแหล่งประมงพื้นบ้านที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงทางอาหารของคนในพื้นที่ ตลอดจนเป็นแหล่งอพยพเพื่อผสมพันธุ์วางไข่ของพันธุ์ปลาจากแม่น้ำโขงในช่วงฤดูน้ำหลาก พบความหลากหลายของพันธุ์ปลาอย่างน้อย ๑๒๔ ชนิด พันธุ์พืช ๒๐๘ ชนิด รวมทั้ง มีความสำคัญในเชิงวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ ทั้งนี้ จังหวัดนครพนม ได้ดำเนินการขับเคลื่อนงานด้านการอนุรักษ์แม่น้ำสงครามตอนล่างในด้านต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 โดยได้ดำเนินงานโครงการด้านการอนุรักษ์แหล่งน้ำร่วมกับองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล สำนักงานประเทศไทย (WWF Thailand) ซึ่งได้รับงบประมาณสนับสนุนจากธนาคาร HSBC ประเทศไทย
พื้นที่ชุ่มน้ำแม่น้ำสงครามตอนล่าง จังหวัดนครพนม ที่เสนอขึ้นทะเบียนเป็นแรมซาร์ไซต์ มีขอบเขตเริ่มตั้งแต่ปากน้ำบ้านไชยบุรี ตำบลไชยบุรี อำเภอท่าอุเทน ไปจนถึงบ้านปากยาม ตำบลสามผง อำเภอศรีสงคราม ความยาวทั้งสิ้น 92 กิโลเมตร โดยการกำหนดพื้นที่เสนอแรมซาร์ไซต์ ยึดหลักการสำคัญ คือ ครอบคลุมเฉพาะส่วนที่เป็นตัวแม่น้ำสงครามตอนล่าง และพื้นที่ป่าบุ่งป่าทามที่ติดกับสองฝั่งแม่น้ำ และพื้นที่ป่าสาธารณะ หรือป่าบุ่งป่าทามที่ผู้นำชุมชนและคณะกรรมการหมู่บ้านเห็นชอบ และไม่มีพื้นที่ทับซ้อนกับพื้นที่เอกสารสิทธิ์ของราษฎร รวมทั้งพื้นที่การปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) พื้นที่สาธารณะตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (นสล.) รวมพื้นที่ที่เสนอเป็นแรมซาร์ไซต์ทั้งหมด 34,381 ไร่
สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประสานสำนักเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ เพื่อขอขึ้นทะเบียนพื้นที่ชุ่มน้ำ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2562 และสำนักงานนโยบายฯ ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2563 ว่าได้ดำเนินการขึ้นทะเบียนแม่น้ำสงครามตอนล่างเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ (แรมซาร์ไซต์) อย่างเป็นทางการแล้ว โดยมีผลวันที่ 15 พฤษภาคม 2562 ทำให้พื้นที่ชุ่มน้ำแม่น้ำสงครามตอนล่าง เป็นแรมซาร์ไซต์ ลำดับที่ 2,420 ของโลก และเป็นลำดับที่ 15 ของประเทศไทย
การขึ้นทะเบียนพื้นที่ชุ่มน้ำเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ หรือแรมซาร์ไซต์ เป็นการสร้างชื่อเสียงและความภาคภูมิใจให้กับชุมชนในท้องถิ่นและประเทศไทย ที่มีพื้นที่ชุ่มน้ำซึ่งมีความสำคัญ ได้รับการขึ้นทะเบียนบรรจุไว้ในทำเนียบพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศให้เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ซึ่งเป็นการเพิ่มศักยภาพการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศระดับโลก เปิดโอกาสให้มีการทำข้อตกลงในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์พื้นที่ชุ่มน้ำอย่างยั่งยืนของผู้ที่เกี่ยวข้อง ป้องกันความขัดแย้งในการใช้ประโยชน์จากการใช้ทรัพยากร นอกจากนี้ ยังเป็นการเปิดโอกาสให้มีการศึกษาคุณค่า ความสำคัญของพื้นที่ชุ่มน้ำ ทำให้มีการจัดการดูแลอย่างเป็นรูปธรรม ไม่มีข้อห้ามในการใช้ประโยชน์พื้นที่ แต่ต้องคำนึงถึงหลักการสากล คือ การใช้ประโยชน์อย่างชาญฉลาด เพื่อให้มีพื้นที่ชุ่มน้ำและทรัพยากรธรรมชาติใช้ประโยชน์ได้ตลอดไป การใช้ประโยชน์และการดำเนินกิจกรรมใด ๆ ในพื้นที่ชุ่มน้ำ เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่กำกับดูแลที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
อุทยานฯแม่วงก์ ให้รางวัลนำจับ “พรานลักลอบล่าสัตว์” หวังสร้างขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ (มติชนออนไลน์, 4 พฤษภาคม 2560)
นายกิตติพัฒน์ ธาราภิบาล หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า อุทยานฯ แม่วงก์ แก้ปัญหาการลักลอบล่าสัตว์ป่าในเขตอุทยานฯ โดยจะให้รางวัลนำจับคดีต่างๆ ดังนี้ 1.พรานล่าสัตว์ที่มีตัวพร้อมอาวุธ คดีละ 2,000 บาท 2.เจ้าหน้าที่ที่ร่วมจับมีคะแนนพิเศษไว้พิจารณาตอนจะขึ้นเงินเดือนช่วงปีงบประมาณใหม่ 3.ได้รับหนังสือสนับสนุนผลงานในการสอบพนักงานราชการ 4.ได้รับการประเมินขั้นให้คะแนนระดับดีมากสำหรับลูกจ้างประจำและพนักงานราชการ 5.สำหรับคดีอื่นๆ ถ้ามีตัวคดีละ 1,500 บาท 6.รับเงินรางวัลนำจับและเกียรติบัตรทุกวันประชุมประจำเดือน แต่การให้รางวัลสินบนของคดี เป็นเทคนิคการบริหารงาน ที่ต้องการทำให้เกิดขวัญกำลังใจในการทำงานแก่เจ้าหน้าที่ ว่าทำดีย่อมได้ดีและได้รับผลแห่งการทำความดีนั้น นอกจากนี้ เพื่อให้เกิดความมุ่งมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ปกป้องป้องกันและปราบปรามผู้บุกรุกทรัพยากรธรรมชาติของชาติ เพื่อไว้ส่งต่อทรัพยากรที่มีค่าสู่ลูกหลานต่อไป ให้ทำงานสมแห่งความเชื่อมั่นที่ประชาชนมอบให้ดูแลทรัพยากรป่าไม้
พะยูนทะเลตรัง ตายรายวัน (มติชนออนไลน์, 30 เมษายน 2560)
อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จ.ตรัง พบพะยูน เพศเมีย ยาวเกือบ 3 เมตร ลอยตายระหว่างช่องเกาะมุก กับเกาะกระดาน ประสานคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ผ่าพิสูจน์ซากหาสาเหตุที่แท้จริง ขณะที่ชาวประมงพื้นบ้านเกาะลิบง พบลูกพะยูนลอยตายกลางทะเลตรังเช่นเดียวกัน
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 30 เมษายน 2560 นายมาโนช วงษ์สุรีรัตน์ หน.อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จ.ตรัง ได้รับแจ้งจากเรือนำเที่ยวว่า พบเห็นพะยูน สัตว์ป่าสงวนชื่อดังประจำ จ.ตรัง ลอยตายระหว่างช่องเกาะมุก กับเกาะกระดาน จึงพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่เดินทางไปตรวจสอบพบว่า เป็นพะยูน เพศเมีย ความยาว 2.59 เมตร ได้ตายลงโดยไม่ทราบสาเหตุ จึงประสานไปยัง รศ.สพญ.ดร.นันทริกา ชันซื่อ ผู้อำนวยการคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อเตรียมเดินทางลงมาเพื่อผ่าพิสูจน์ซาก ณ อาคารคลีนิกปฎิบัติการสัตว์ทะเลหายาก อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม โดยเบื้องต้นได้นำซากพะยูนมาใส่น้ำแข็งรอผลการผ่าพิสูจน์หาสาเหตุที่แท้จริงต่อไปแล้ว
ขณะที่นายรุ่งโรจน์ เบ็นหมูด ชาวประมงพื้นบ้านจังหวัดตรัง ได้พบซากพะยูนอีกตัว บริเวณหน้าเกาะลิบง ต.เกาะลิบง อ.กันตัง จ.ตรัง จึงได้ร่วมกับชาวประมงพื้นบ้าน ได้ลากซากพะยูนมาขึ้นเรือบริเวณท่าเรือหาดยาว พบว่าเป็นซากลูกซากพะยูน น้ำหนักประมาณ 20 กิโลกรัม มีบาดแผลบริเวณลำตัว คาดว่าได้เกิดหลงฝูงออกจากแม่พะยูน เข้าไปติดอวนประมงของชาวบ้านทำให้ขาดอากาศหายใจและตายดังกล่าว
อย่างไรก็ตามชาวประมงพื้นบ้านได้เล่ากับผู้สื่อข่าวว่า แม้ว่าทางอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ได้มีการติดตามดาวเทียมติดตามพะยูนในทะเลตรัง ซึ่งต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก แต่ปรากฏว่ายังมีพะยูนตายในทะเลตรังแบบรายวัน ทั้งที่ชาวประมงพื้นที่ในพื้นที่ได้มีการคัดค้านการติดตั้งดาวเทียมที่ตัวพะยูนมาตลอด เพราะเป็นการทรมานพะยูน ล่าสุดชาวประมงพื้นบ้านได้ยื่นหนังสือคันค้านต่อจังหวัดแล้ว
วันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก 2565
สผ. เดินสายคุยพันธมิตรอนุรักษ์นกอพยพ
เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2565 เจ้าหน้าที่กลุ่มงานขับเคลื่อนนโยบายและกลไก กองจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เข้าพบเจ้าหน้าที่สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เพื่อหารือการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์นกอพยพในประเทศไทย
เจ้าหน้าที่สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้แบ่งปันประสบการณ์การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องทั้งด้านการบริหารจัดการ การศึกษาวิจัย การสำรวจประชากรนกอพยพ ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานด้านการบริหารจัดการเส้นทางการบินนกอพยพ East Asian – Australasian Flyway ซึ่งสำนักงานนโยบายและแผนฯ เป็นหน่วยประสานงานกลางพันธมิตรความร่วมมือดังกล่าว
การจัดกิจกรรมเนื่องในวันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๒
สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) โดยกองจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ (กลช.) ได้จัดกิจกรรมเนื่องในวันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๒ ณ อนุสรณ์เรือรบหลวงประแส อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ซึ่งได้รับเกียรติจาก นายสุพจน์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดงาน ดร.รวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการ สผ. กล่าวรายงาน และ นายอินทรีย์ เกิดมณี ปลัดจังหวัดระยอง กล่าวต้อนรับ โดยมี ผู้บริหาร ทส. ผู้แทนจากหน่วยงานสังกัด ทส. หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรพัฒนาเอกชน สถาบันการศึกษา เยาวชน ประชาชน และสื่อมวลชน เข้าร่วมงานดังกล่าว จำนวน ๓๐๐ คน
สำหรับการจัดกิจกรรมครั้งนี้ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน องค์กรพัฒนาเอกชน และประชาชนที่เกี่ยวข้อง ได้ตระหนักถึงความสำคัญของพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งเป็นระบบนิเวศที่มีส่วนสำคัญในการเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอน และช่วยบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนเพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเกิดความหวงแหนในการอนุรักษ์ และใช้ประโยชน์พื้นที่ชุ่มน้ำอย่างยั่งยืน รวมทั้งสามารถนำประสบการณ์ และความรู้จากการจัดกิจกรรมครั้งนี้ไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินงานในพื้นที่ชุ่มน้ำอื่นๆ ต่อไป ซึ่งภายในงานได้มีการจัดนิทรรศการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและการเสวนา เรื่อง “รักษ์โลก รักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ ลดโลกร้อน” รวมทั้ง การศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนและทุ่งโปรงทอง ริมปากแม่น้ำประแสด้วย